โรคขี้เรื้อนในสุนัข อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา
โรคขี้เรื้อนในสุนัข อาการ สาเหตุ และวิธีการรักษา
โรคขี้เรื้อนในสุนัข โรคยอดฮิตที่คนรักสุนัขมักพบเจอได้บ่อยแทบจะเป็นโรคสามัญประจำบ้าน และส่วนใหญ่ก็มักจะพบเห็นได้บ่อยในสุนัขจรจัด สาเหตุเกิดมากจากปรสิตภายนอกตัวหลาย ภัยเงียบที่คุณเลี้ยงสุนัขส่วนใหญ่ไม่รู้ สามารถติดต่อกับสุนัขด้วยกันได้ วันนี้เราจึงมี อาการ สาเหตุ และวิธีรักษาเบื้องต้นมาฝากทุกคน
โรคขี้เรื้อนผู้เลี้ยงสุนัขหลายคนอาจจะยังไม่รู้สาเหตุและอาจจะเป็นเรื่องไกลตัว สาเหตุหลักๆมาจากปรสิตเจ้าตัว "ไรขี้เรื้อน" นั้นเอง ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาป่าว ส่วนใหญ่จะชอบอาศัยอยู่บนผิวหนังกัดกินผิวหนัง และบริเวณในใบหู ทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบอย่างรุ่นแรง (Dermatitis disease) การรักษาขี้เรื้อนนั้นส่วนใหญ่จะใช้เวลา 12 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ เพื่อให้มั่นใจว่าได้ตัดวงจรของตัว "ไรขี้เรื้อน" บนตัวสุนัขได้อย่างหมดจด เพื่อไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำๆ และลดการดื้อยา
โรคเรื้อนในสุนัข มีด้วยกัน 2 ประเภทได้แก่ โรคขี้เรื้อน แห้ง และขี้เรื้อนเปียก โดยเกิดจากปรสิตต่างชนิดกันดังนี้
โรคขี้เรื้อนแห้ง (Canine scabies)
โรคขี้เรื้อนแห้งเกิดจาก Sarcoptes scabiei เป็นตัวไรขี้เรื้อนที่ทำเกิดอาการเกาคันอย่างรุนแรง เจ้าตัวไรขี้เรื้อนชนิดนี้ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า อาศัยอยู่บนผิวหนังชั้นหนังกำพร้า โดยเจ้าไรที่ว่านี้สามารถสืบพันธุ์ออกไข่ ออกลูกหลานได้อีกมากมายเรียกว่าอาศัยอยู่บนผิวหนังสุนัขจำนวนมาก
บริเวณที่พบได้บ่อยคือขอบใบหู ใต้ท้อง ข้อศอกและข้อเท้าของขาหลังด้านนอก สุนัขจะคันมากและเกาจนผิวหนังอักเสบ คันจนไม่สามารถใช้ชีวิต หรือทำกิจกรรมในแต่ละวันได้อย่างปกติ ทำให้เกิดความเครียด เบื่ออาหาร น้ำหนักลด บางตัวขนร่วง มีตุ่มแดง สะเก็ดรังแค (scale) เกิดคราบสะเก็ดแห้งกรัง (crust) หรือเกิดลักษณะผิวแห้งหนา (lichenification) ร่วมด้วย
ในกรณีที่เลี้ยงสุนัขไว้หลายตัว ต้องพาสัตว์เลี้ยงที่มีอาการ โรคขี้เรื้อน ทุกตัวมารักษาด้วย เนื่องจากเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย ติดต่อกันได้ไวมาก มิเช่นนั้นจะทำให้เกิดปัญหาการป่วยวนเวียนอยู่ในฝูงสุนัขได้เรื่อย ๆ ที่สำคัญอาจจะมีอาการคันเกิดขึ้นได้กับเจ้าของเช่นกัน
อาการ
- คันตามผิวหนังอย่างรุนแรง
- ผิวหนังลอกเป็นสะเก็ด
- มีการอักเสบของชั้นผิวหนังอย่างรุนแรง
- ขนร่วง
- บางรายอาจจะขึ้นมีเลือด และติดเชื้อ
- ส่วนใหญ่จะเริ่มจากบริเวณหน้า เท้า และหาง
วิธีการรักษาเบื้องต้น
คือการใช้ยารักษาที่มีส่วนประกอบในการจัดการกับ "ไรขี้เรื้อน" และตัวยาที่มีส่วนช่วยในการรักษาผิวหนังอักเสบ (Dermatitis disease) การรักษาขี้เรื้อนนั้นต้องใช้เวลารักษาให้หายนั้น ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 8-12 สัปดาห์เป็นอย่างต่ำ โดยการให้ยานั้นก็จะมีหลากหลายแบบหลากหลายวิธีการต่างกันออกไป ซึ่งแนะนำฝห้ผู้เลี้ยงทำการรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันไม่ได้ให้กลับมาเป็นซ้ำ หรือเกิดการดื้อยาได้
1.Afoxolaner
- ส่วนใหญ่ยาตัวนี้จะมีอยู่ในผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัดชนิดกิน แบบเม็ดเคี้ยวอย่างเช่น NexGard Spectra เป็นต้น ยาจะออกฤทธิ์ 1 เดือน ทานติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน เดือนละ 1 ครั้ง
1.2.Fluralaner
- ส่วนใหญ่ยาตัวนี้จะมีอยู่ในผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัดชนิดกิน แบบเม็ดเคี้ยวอย่างเช่น Bravecto เป็นต้น ข้อดีของบราเวคโต้คือ ออกฤทธิ์ได้นานถึง 3 เดือน ในการทานแค่ครั้งเดียว จบขั้นต่ำวงจรของการรักษาพอดี
1.3.Selamectin
- ส่วนใหญ่ยาตัวนี้จะมีอยู่ในผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัดชนิดหยดหลังคออย่างเช่น Revolution เป็นต้น ยาจะออกฤทธิ์ 1 เดือน หยดติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน เดือนละ 1 ครั้ง
1.4.Moxidectin+imidaclopid
- ส่วนใหญ่ยาตัวนี้จะมีอยู่ในผลิตภัณฑ์กำจัดเห็บหมัดชนิดหยดหลังคออย่างเช่น Adovocate เป็นต้น ยาจะออกฤทธิ์ 1 เดือน หยดติดต่อกันอย่างน้อย 3 เดือน เดือนละ 1 ครั้ง
คำเตือน ยาส่วนใหญ่จะมีผลข้างเคียงแตกต่างกันออกไปมักจะเกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็ขึ้นอยู่กับอาการแพ้ของสุนัขตัวนั้นๆ และอาจจะมีผลข้างเคียงกับสุนัขตั้งท้อง และให้นมลูก ยาอาจจะส่งผลแพ้รุ่นแรงกับสุนัขบางสายพันธุ์เช่น Collie, Old English sheepdog,Shetland sheepdog, Australian Shepherds เป็นต้น แนะนำปรึกษาแพทย์ทางคุณเลี้ยงสุนัขที่กล่าวไปเบื้องต้น หรือหากมีอาการแพ้แนะนำให้พาสุนัขเข้าพบสัตวแพทย์โดยทันที
นอกจากนี้ ให้อาบน้ำ หรือฟอกบริเวณที่เป็นด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของ benzoyl peroxide หรือ chlorhexidine โดยผสมแชมพูรวมกับน้ำ แล้วฟอกที่บริเวณรอยโรคทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เจ้าของอาจต้องโกนขนหรือตัดขนบริเวณรอยโรคให้สั้น เพื่อให้ตัวยาในแชมพูสัมผัสกับรอยโรคได้ดี
ในรายที่มีอาการคัน แนะนำให้ยาลดอาการคัน ซึ่งมีอยู่หลายชนิดด้วยกันเช่น Chlorpheniramine, Hydroxyzine และ Oclacitinib maleate (Apoquel) เป็นต้น โดยให้ตามอาการคัน หรือตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ หลังจากรักษาทางยากินและยาใช้ภายนอก อาการคันจะลดลงใน 1-2 สัปดาห์ วิการจะดีขึ้นใน 2-3 สัปดาห์ โดยระยะการรักษาจนหายดีใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือน
โรคขี้เรื้อนเปียก (Canine demodicosis)
โรคขี้เรื้อน เปียก หรือโรคขี้เรื้อนขุมขน เกิดจากตัวไรขี้เรื้อน Demodex canis, Demodex injai หรือ Demodex cornei เป็นไร 8 ขาที่มีขนาดเล็กมาก รูปร่างยาวรี โดยตามธรรมชาติแล้ว พบได้ทั่วไปในสุนัขทุกตัว และมักไม่ก่อให้เกิดโรคผิวหนังตราบใดที่มันยังมีจำนวนน้อย และสัตว์มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงปกติดี ไรตัวนี้จะอาศัยอยู่ในรูขุมขน บริเวณใบหน้า หัว รอบตา ลำตัว ขา ฝ่าเท้า และอุ้งเท้า คอยอาศัยส่วนของเยื่อบุของ follicle ตรงรูขุมขนเป็นอาหาร ทำให้น้องเกิดอาการขนร่วง มีเม็ดตุ่ม มีตุ่มหนอง ผิวหนังเยิ้มแฉะ มีแผลหลุม มีแผลโพรงทะลุ มีกลิ่นตัว (กลิ่นคาวปลาเค็ม) เกิดรูขุมขนอักเสบ (Folliculitis) ตามมาได้
บางรายอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์แทรกซ้อน ทำให้เกิดอาการคันและเกา อาจพบอาการทางระบบ (systemic) ตามมาได้ เช่น เบื่ออาหาร ซึม น้ำหนักลด และมีไข้ หากเป็นเรื้อรังจะพบเป็นสะเก็ดแห้งกรัง (crust) มีหนองหรือเลือดออกทั่วร่างกาย รวมทั้งอาจมีต่อมน้ำเหลืองโตทั่วร่างกาย (Polylymphadenopathy) อีกด้วย
อาการ
- คันตามผิวหนังอย่างรุนแรง
- ผิวหนังลอกเป็นสะเก็ด
- มีการอักเสบของชั้นผิวหนังอย่างรุนแรง
- ขนร่วง
- บางรายอาจจะขึ้นมีเลือด และติดเชื้อ
- ส่วนใหญ่จะเริ่มจากบริเวณหน้า เท้า และหาง
- จะมีตัวมันๆเปียกๆ เหมือนมีเมือกทั่วร่างกาย
- มีกลิ่นสาปเปียก (เหมือนชุปโคน)
ถ้าจะแบ่งประเภทของโรคไรขี้เรื้อนเปียก เราสามารถแบ่งแยกออกได้อีกเป็น 2 แบบ คือ
1. แบบเฉพาะที่ มักพบรอยวิการเกิดเป็นหย่อม ๆ ที่บริเวณใบหน้า หัว รอบตา แก้ม เหนือคิ้ว ขาหน้า จำนวนของรอยโรคจะไม่เกิน 3-5 ตำแหน่ง โดยสุนัขจะมีขนร่วง ผิวหนังแดง คันและเกา มีแผลอักเสบ เป็นตุ่มแดง ๆ เล็ก ๆ โดยปกติแล้วรอยโรคจะเกิดขึ้นเองและจะหายไปเองได้ภายใน 3-8 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้ถ้ามีอาการอักเสบมีตุ่มหนองด้วยต้องรีบพาสุนัขไปหาสัตวแพทย์นะคะ เพราะจะลุกลามเป็นแบบกระจายได้ มักพบในลูกสุนัข อายุ 3-6 เดือน หากเป็นประเภทนี้การพยากรณ์โรคจะดี บางรายอาจหายได้เอง แต่บางรายอาจพัฒนากลายเป็นแบบกระจายทั่วตัวได้
2. แบบกระจายทั่วตัว มักพบรอยวิการที่บริเวณใบหน้า หัว รอบตา ลำตัว ขา ฝ่าเท้า และอุ้งเท้า กระจายเป็นบริเวณกว้าง สามารถพบได้ในสุนัขที่มีอายุระหว่าง 3-18 เดือน และสามารถพบได้ในสุนัขที่โตเต็มที่แล้ว
สังเกตจากลักษณะผิวหนัง และเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจหาไรขี้เรื้อน โดยขูดเก็บตัวอย่างจากผิวหนัง ด้วยวิธี deep skin scraping
คือการขูดแบบชั้นลึกมาส่องกล้องจุลทรรศน์ดู วิธีนี้อาจทำให้น้องหมามีเลือดไหลซิบ ๆ ออกมาบ้างนะคะไม่ต้องตกใจ เนื่องจากเจ้าตัวไรขี้เรื้อนดีโมเด็กซ์ (Demodex spp.) นี้ชอบอาศัยอยู่ในรูขุมขน บางครั้งคุณหมออาจจะใช้วิธีการดึงเส้นขนมาตรวจ (Trichogram) ในตำแหน่งที่ขูดตรวจยาก เช่น รอยตา ฝ่าเท้า ง่ามนิ้ว ฯลฯ หรือทำการเก็บชิ้นเนื้อ (Biopsy) มาตรวจในบางเคส
วิธีการรักษาเบื้องต้นส่วนใหญ่ขี้เรื้อนการรักจะเหมือนกันกับแบบที่ 1 แต่จะแตกต่างกันที่ลักษณะรอยโรคและการเกิดของโรค
ข้อสำคัญที่ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ไม่รู้และมักจะมองข้าม คือ การที่สุนัขเป็นขี้เรื้อนนั้นหากปล่อยไว้เป็นเวลานานอาจจะเกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนได้ที่ทางการแพทย์เรียกกัน การติดเชื้อร่วม หรือ (Mixed Infection) จะมีการติดเชื้ออย่างรุนแรง อาจจะมีการติดเชื้อแบคทิเรีย เชื้อรา ยีสต์ เข้ามาร่วมด้วยได้ อาจจะทำให้การรักษาใช้เวลานานขึ้นมากถึง 1 ปี การใช้ยาก็ต้องเพิ่มเป็น 2 แบบ รักษาแบบควบคู่กันไป
โรคขี้เรื้อนไม่ได้น่ากังวลอย่างที่หลายๆคนคิด เพียงแค่เรารู้วิธีสังเกตุอาการ วิธีรักษา และที่สำคัญคือวิธีป้องกัน ก็จะทำให้สุนัขของพวกเรานั้นสุขภาพดีอยู่เสมอ