เชื้อรา และ ยีสต์ โรคผิวหนังสุนัขที่คนเลี้ยงส่วนใหญ่มองข้าม!

โรคยีสต์ในสุนัข คืออะไร? อาการคัน กลิ่นเหม็น วิธีรักษา และป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
โรคผิวหนังจากเชื้อยีสต์เป็นปัญหาที่ทำให้เจ้าของสุนัขหลายคนปวดหัว เพราะมันทำให้สุนัขมีอาการคันอย่างรุนแรง มีกลิ่นตัวเหม็นหืน และอาจนำไปสู่ภาวะผิวหนังอักเสบเรื้อรังได้ หากคุณสังเกตเห็นว่าสุนัขของคุณเริ่มมีกลิ่นแปลก ๆ หรือเกาไม่หยุด

โรคยีสต์ในสุนัข (Malassezia Dermatitis) คืออะไร?
ทำความรู้จักกับเชื้อยีสต์ Malassezia pachydermatis
เชื้อยีสต์ที่ก่อโรคผิวหนังในสุนัขส่วนใหญ่คือ Malassezia pachydermatis ยีสต์ชนิดนี้เป็น เชื้อประจำถิ่น (Normal Flora) ที่อาศัยอยู่บนผิวหนังและในช่องหูของสุนัขทุกตัวอย่างสงบ แต่เมื่อใดที่ผิวหนังมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโต (เช่น มีความชื้นสูง หรือมีสารอาหารเยอะ) ยีสต์จะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วจนก่อให้เกิดการอักเสบและอาการของโรค

สาเหตุหลักของการเกิดโรคยีสต์
โรคยีสต์ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก ภาวะแทรกซ้อน ของโรคผิวหนังอื่น ๆ ที่ทำให้สมดุลผิวเสียไป ปัจจัยหลัก ได้แก่:
- โรคภูมิแพ้ผิวหนัง: นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่ง! ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้อาหาร หรือภูมิแพ้ต่อสิ่งแวดล้อม (Atopy) จะทำให้ผิวหนังอักเสบและอ่อนแอลง ทำให้ยีสต์มีโอกาสเจริญเติบโต
- ความชื้นและความร้อน: บริเวณที่มีความชื้นสะสม เช่น หลังอาบน้ำที่ไม่แห้งสนิท, รอยพับผิวหนัง (เช่น สุนัขพันธุ์ Bulldog, Pug), หรือการว่ายน้ำบ่อย ๆ ทำให้ยีสต์เติบโตได้ดี
- ปัญหาฮอร์โมน: เช่น ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism) ส่งผลให้ภูมิคุ้มกันผิวหนังทำงานลดลง
- การใช้ยาบางชนิด: การให้ยาปฏิชีวนะ หรือยากดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานานอาจทำลายแบคทีเรียที่ดีบนผิว ทำให้ยีสต์เพิ่มจำนวนแทน
สัญญาณและอาการ: สังเกตอย่างไรว่าสุนัขติดเชื้อยีสต์?
อาการของโรคยีสต์มีความโดดเด่นและมักเกิดซ้ำ ๆ บริเวณเดิม ๆ1. อาการทั่วไปทางผิวหนัง
- กลิ่นเหม็นหืนเฉพาะตัว: เป็นลักษณะที่ชัดเจนที่สุด มีกลิ่นคล้ายถุงเท้าเปียก, ขนมปังยีสต์, หรือชีส กลิ่นมักจะรุนแรงขึ้นเมื่ออากาศชื้นหรือในบริเวณอับ
- อาการคันอย่างรุนแรง: สุนัขจะเกา, เลีย, หรือกัดผิวหนังบ่อยครั้ง ซึ่งอาจทำให้เกิดบาดแผลถลอกตามมา
- รอยแดงและการอักเสบ: ผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อมักมีสีแดงและอักเสบ อาจมีตุ่มหนองเล็ก ๆ ร่วมด้วย
- หากเป็นยีสต์เรื้อรังและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ผิวหนังจะมีการเปลี่ยนแปลงถาวร:
- ผิวหนังดำคล้ำ (Hyperpigmentation): บริเวณที่อักเสบเรื้อรังจะมีสีเข้มขึ้นจากสีชมพูเป็นสีน้ำตาลหรือดำ
- ผิวหนังหนาตัวขึ้น (Lichenification): ผิวหนังจะหนาและแข็งตัวขึ้นคล้ายหนังช้าง มักพบบริเวณรักแร้, ขาหนีบ, คอ, และช่องว่างระหว่างนิ้ว
- ยีสต์เป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อในช่องหูของสุนัข สังเกตได้จาก:
- ขี้หูสีน้ำตาลเข้ม/ดำ: มีลักษณะมันเยิ้ม มีกลิ่นเหม็นหืนรุนแรง
- อาการสั่นหัว/เกาหู: สุนัขจะสั่นหัวบ่อย ๆ เอียงคอ หรือเอาหูไปถูพื้น
- หูบวมแดง: ภายในช่องหูมีอาการแดงและบวม

การวินิจฉัยและการรักษาโรคยีสต์ในสุนัข
การรักษาโรคยีสต์ต้องทำควบคู่กันทั้งการฆ่าเชื้อยีสต์และการจัดการกับโรคพื้นฐานที่เป็นสาเหตุ1. การวินิจฉัยของสัตวแพทย์
- การตรวจเซลล์ (Cytology): สัตวแพทย์จะเก็บตัวอย่าง (ด้วยการขูดหรือใช้เทปซับ) จากผิวหนังหรือขี้หู แล้วนำไปย้อมสีและส่องกล้องจุลทรรศน์ เพื่อประเมินจำนวนเชื้อยีสต์ Malassezia และแบคทีเรีย เพื่อยืนยันการวินิจฉัย
- การตรวจหาโรคพื้นฐาน: อาจมีการตรวจเลือดเพื่อหาภาวะไทรอยด์ต่ำ หรือทำการทดสอบภูมิแพ้ (Allergy Test) เพื่อระบุสาเหตุแท้จริง
2. แนวทางการรักษา (Treatment)
2.1 การรักษาเฉพาะที่ (Topical Treatment):
- แชมพูฆ่าเชื้อรา: เป็นวิธีที่สำคัญที่สุดในการลดปริมาณยีสต์บนผิวหนัง ใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ Miconazole และ/หรือ Ketoconazole โดยทั่วไปต้องฟอกทิ้งไว้ 10-15 นาทีก่อนล้างออก ทำซ้ำตามความถี่ที่สัตวแพทย์กำหนด
- น้ำยาทำความสะอาดหู/ยาหยอดหู: ใช้ยาหยอดหูที่มีตัวยาฆ่าเชื้อยีสต์โดยเฉพาะ (ห้ามใช้ยาหยอดหูที่ไม่ได้รับการแนะนำจากสัตวแพทย์)
2.2 การรักษาด้วยยาแบบกิน (Systemic Treatment):
ใช้ในกรณีที่สุนัขเป็นรุนแรง, ยีสต์ลามไปทั่วตัว, หรือมีอาการอักเสบในหูชั้นใน ยาที่ใช้คือยาฆ่าเชื้อราชนิดกิน (เช่น Ketoconazole หรือ Itraconazole) ซึ่งจะออกฤทธิ์จากภายใน

คำเตือน: ยาฆ่าเชื้อราชนิดกินควรให้ภายใต้การดูแลของสัตวแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีผลข้างเคียงต่อตับ

การจัดการและป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
เนื่องจากยีสต์มักเป็นปัญหารอง การป้องกันจึงต้องเน้นที่การควบคุมปัจจัยกระตุ้น:
ควบคุมความชื้น:
เป่าขนให้แห้งสนิท: หลังอาบน้ำทุกครั้ง ต้องเป่าขนให้แห้งที่สุด โดยเฉพาะบริเวณรอยพับและช่องว่างระหว่างนิ้วเท้า
จำกัดการว่ายน้ำในช่วงที่อาการกำเริบ
จัดการโรคพื้นฐาน:
หากสุนัขเป็นภูมิแพ้ ต้องควบคุมด้วยการปรับอาหาร (สำหรับภูมิแพ้อาหาร) หรือการใช้ยา/วัคซีน (สำหรับภูมิแพ้สิ่งแวดล้อม) การควบคุมภูมิแพ้ได้คือการป้องกันยีสต์ที่ดีที่สุด
การดูแลรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอ:
ทำความสะอาดหูสุนัขเป็นประจำด้วยน้ำยาที่สัตวแพทย์แนะนำ เพื่อควบคุมไม่ให้ยีสต์ในช่องหูมีจำนวนมากเกินไป
อาบน้ำด้วยแชมพูป้องกันยีสต์ตามความถี่ที่เหมาะสมเพื่อควบคุมจำนวนเชื้อบนผิวหนัง
การรักษาโรคยีสต์อาจใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน และต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างเจ้าของและสัตวแพทย์ หากคุณสงสัยว่าสุนัขของคุณกำลังประสบปัญหาโรคยีสต์ ควรพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อวินิจฉัยด้วยการตรวจเซลล์ให้แน่ชัดก่อนเริ่มการรักษา
Chamai Petcare


